ในแต่ละยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ในเรื่องของการศึกษาก็เช่นกัน ที่ในยุคปัจจุบันการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวดูจะไม่ตอบโจทย์เหมือนสมัยก่อนแล้ว เมื่อความสนใจของเด็กยุคดิจิทัลกำลังสั้นลงเรื่อยๆ และมักจะถูกหันเหไปตามสิ่งเร้าใจอื่นๆ รอบตัว ดังนั้นหากอยากให้เด็กได้รับความรู้ที่เพียงพอ ผู้สอนไม่ว่าจะเป็นครู หรือผู้ปกครองเอง ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับเด็กในยุคนี้ ดังนั้น Nanolearning จึงเป็นหนึ่งในตัวช่วยของการเรียนรู้ที่น่าจับตามอง

Nanolearning คือ การให้เด็กได้เรียนรู้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ต่อครั้ง ถ้าเปรียบเป็นพิซซ่าก็เหมือนกับการให้ผู้เรียนกินพิซซ่าทีละชิ้นเล็กๆ แทนที่จะให้กินทีเดียวทั้งถาด การเรียนแบบนี้จะเป็นการเรียนแบบต่อเนื่องที่จะทำให้ผู้เรียนได้ความรู้แบบไม่ต้องเสียเวลาเรียนเป็นชั่วโมง และมีการใช้เครื่องมือในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหา ซึ่งการเรียนแบบ Nanolearning นั้น นอกจากจะใช้สมาธิและความสนใจในการเรียนเพียงระยะเวลาสั้นๆ ต่อครั้งแล้ว ยังมีความน่าสนใจและสนุกสนาน ทำให้เด็กๆ เข้าใจบทเรียนได้ง่ายกว่า และได้ผลลัพธ์ในการเรียนรู้ที่ดีกว่าการให้นั่งเรียนแบบเดิมเป็นเวลานานๆ

ที่มาของการเรียนแบบ Nanolearning

1. ช่วงความสนใจของเด็กสั้นลงเรื่อยๆ เด็กจะไม่สามารถตั้งใจเรียนโดยใช้เวลานานเป็นชั่วโมงๆ ได้
2. ความเหนื่อยล้าจากการดูหน้าจอทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นเรียนออนไลน์ การเล่นเกม หรือเล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ
3. หากเนื้อหามีความยาวและเข้าใจยาก จะทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน และไม่สามารถจับใจความสำคัญได้
4. การใช้เวลาเรียนในช่วงเวลาสั้นๆ ในขณะที่เด็กสนใจ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

ข้อที่ต้องรู้เมื่อนำ Nanolearning มาปรับใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการเรียน

1. ควรรู้ความต้องการของผู้เรียน เช่น เด็กไม่ชอบการเรียนเนื้อหายากและยาว แต่ชอบการทดลองและความสนุก เป็นต้น
2. กำหนดเป้าหมายของการเรียนรู้ให้ชัดเจน ว่าต้องการให้ผู้เรียนได้ความรู้ในเรื่องอะไรบ้าง
3. เลือกเครื่องมือในการให้ความรู้อย่างเหมาะสม เช่น การใช้รูปภาพ วิดีโอ การศึกษา แบบฝึกหัดหรือการถามคำถาม แอปพลิเคชั่น พอดแคสต์ เป็นต้น
4. ควรทำให้สั้น และกระชับ แนะนำว่าให้อยู่ภายใน 5 นาที ต่อการเรียนในแต่ละครั้ง และควรเรียนต่อกันเป็นซีรีย์ต่อเนื่อง

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ fukumapaint.net